FMCP Students!

FMCP Students!
No one is too old to learn English!

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรียนที่ประเทศอินเดีย...ดีมั้ย

กลายเป็นเทรนด์สมัยใหม่ไปแล้ว...ส่งลูกหลานไปเรียนที่อินเดีย


อินเดียมอบโอกาสให้ครอบครัวไทยส่งลูกหลานไปเรียนเพื่อปรับปรุงการใช้ภาษาอังกฤษ ด้วยค่าเรียนที่ถูกกว่าโรงเรียนนานาชาติที่เมืองไทย  พร้อมทั้งมีครบเรื่องในด้านที่อยู่และการดูแล  ผู้ปกครองจึงยอมจากลูกรักเพื่อให้ลูกได้การศึกษาที่ดีและสามารถใช้ภาษาได้เก่ง

พี่เมเห็นด้วยกับการสนับสนุนลูกในการศึกษาแต่อยากให้ผู้ปกครองพึงระวังในส่วน ดังกล่าว
  1. ตรวจสอบประวัติและความน่าเชื่อถือของโรงเรียนอินเดียดังกล่าวก่อนที่จะส่งลูกไป ถ้าจะไปดูกับตาตัวเองก่อนยิ่งดี
  2. วัฒนธรรมที่ต่างกัน  ที่อินเดีย บางที่จะลงโทษด้วยการตบหน้า (ซึ่งที่อินเดียเป็นวิธีที่ทำเป็นประจำ) หรือกักบริเวณ (วิธีสมัยใหม่) ถ้าจะส่งลูกเราให้ไปเรียนลับหูลับตาเรา เราก็จะต้องศึกษาให้แน่ว่าการลงโทษนักเรียน เค้าทำกันแบบใด  ถ้ากรณีนี้เกิดขึ้นจริง เราจะไม่สามารถปกป้องลูกได้เลยนะ
  3. บางครั้งครูผู้สอนนิยมสอนโดยใช้ภาษาอินเดียกับภาษาอังกฤษผสมๆ กัน เพราะฉะนั้นเด็กๆที่ไม่รู้ภาษาอินเดียจะงงและเรียนไม่รู้เรื่อง  ผู้ปกครองควรเช็คหลักสูตรและการสอนเพื่อให้แน่ใจว่าลูกของคุณจะถูกสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษจริงๆ
  4. การห่างบ้านตั้งแต่อายุน้อยๆ อาจทำให้เด็กมีโรคซึมเศร้า  ถามความคิดเห็นของลูก และพิจารณาประโยชน์และโทษให้ดีก่อนตัดสินใจ  อย่าทำเพราะคนอื่นเค้าทำกัน  ครอบครัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
  5. ถ้าเป็นบุตรหญิง  ผู้ปกครองยิ่งต้องศึกษาเป็นกรณีพิเศษ เพราะรู้ๆกันอยู่ถึงข่าวปัจจุบันเกี่ยวกับอินเดียที่ไม่ค่อยปราณีเพศหญิงซะเท่าไรนัก
  6. สำเนียงของเด็กจะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม  อย่าตกใจถ้าไม่ได้สำเนียงฝรั่งจ๋ากลับมา แต่จะเป็นสำเนียงแขกพูดภาษาอังกฤษแทน
  7. ส่งลูกไป แล้วหาโอกาสไปเยี่ยม หรือให้ลูกได้กลับบ้านบ้าง คอยศึกษาอุปนิสัยและพฤติกรรมของลูกในช่วงปิดภาคเรียน
อย่าส่งลูกไปเรียนเพราะคนอื่นเค้าส่งกัน  พิจารณาไตร่ตรองให้ดีๆ ว่าข้อมูลที่เราได้ยินมาจากคนอื่นๆ น่าเชื่อถือเพียงใด แล้วตัดสินใจด้วยเหตุและผลของเราเองเถอะ

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

พี่เมตอบข้อสงสัยในของการเข้าเรียน EP

 หลายอย่างที่ผู้ปกครองควรรู้ก่อนส่งลูกเข้าเรียน EP

ข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับการเข้าเรียน EP
  1. เลข วิทย์ จะเรียนเป็นภาษาอังกฤษ ลูกของเรารับได้ไหม มีพื้นฐานบ้างมั้ย จากที่พี่เมเคยสอนในระบบอีพีมา ปัญหาที่เด็มใหม่ในโครงการอีพีมีเป็นอันดับหนึ่งคือ...ไม่เคยเรียนเลข และวิทย์เป็นภาษาอังกฤษ  มันเหมือนกับเรียนทุกอย่างใหม่หมดเพราะศัพท์ที่เรียนเป็นภาษาไทย  จะเรียกอีกอย่างนึงเป็นภาษาอังกฤษ แล้วเด็กจะรับรู้ทั้งหมดโดยไม่มีพื้นฐานได้อย่างไร
  2. เมื่อลูกมีการบ้าน หรือต้องเตรียมสอบ คุณหาทางช่วยเขาได้มั้ย  ในสมัยนี้ติวเตอร์เลขกับวิทย์มีล้นตลาด  ที่ขาดคือติวเตอร์อีพี ทักษะของติวเตอร์แบบนี้จะไม่ธรรมดาเลย เพราะเค้าต้องเก่งทั้งเลข เก่งทั้งภาษาอังกฤษ ครูส่วนใหญ่ที่สอนได้จะเป็นครูชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งเขาอาจยังต้องอธิบายเป็นภาษาอังกฤษอยู่ แล้วเด็กเราจะเข้าใจ จริงๆ มั้ย   ตามสถานการณ์ที่เห็นมา.. ในห้องจะมีเข้าใจเนื้อหาเพียงไม่กี่คน...ที่เหลือไม่ก็ให้เพื่อนอธิบายให้ หรือไม่ก็ลอกกันเลย  แล้วอย่างนี้จะเรียนให้ได้ผลได้อย่างไร
  3. เข้าอีพีแสดงว่าจะต้องให้ลูกเรียนภาษาใช่มั้ย...ไม่จริงเลย  ในสมัยนี้เรียนอีพีแต่ก็ยังสอบเข้าหมอได้ เพียงแต่อาจจะต้องไปติวหนักตามที่กวดวิชาข้างนอกหน่อย  พี่เมว่ายิ่งดีอีก เป็นหมอที่เก่งภาษาอังกฤษ...ไปที่ไหนก็มีแต่คนรับ รวมทั้งตำราเรียนก็จะเป็นภาษาอังกฤษ  มันจะง่ายสำหรับเด็กอีพีมากว่าเด็กที่เรียนหลักสูตรปกตินะ  คิดดู
  4. เรียนอีพีแล้วคุ้มมั้ย  เด็กๆจะได้ภาษาจริงๆ หรือ   ชัวร์คะ รับประกัน ไม่ใช่แค่ภาษา...แต่ความมั่นใจด้วย เด็กๆจะโตรอบๆสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเค้า  ถ้าสิ่งแวดล้อมนั้นมีแต่ภาษาอังกฤษกับครูต่างชาติ  ไม่เก่งก็ให้มันรู้ไป  เด็กอีพีที่พี่เมสอนสามารถเขียน อ่าน พูด และฟัง ภาษาอังกฤษได้ดีมากเมื่อเทียบเท่ากับชั้นเดียวกัน
  5. ควรให้เด็กเข้าอีพีตั้งแต่ชั้นไหน...  ยิ่งเร็วยิ่งดีคะ  ทักษะภาษาอังกฤษจะถูกซึมซับในวัยเด็กมากกว่าวัยทำงาน เด็กๆจะเรียนรู้ง่ายกว่า เร็วกว่า และจำได้นานกว่า ลองคิดดูว่าเราในรุ่นผู้ใหญ่..เรียนอะไรก็ดูยากดูช้าไปหมด โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ  อย่าให้เด็กต้องมาเรียนภาษาตอนโตเลย..จะไม่ทันคนอื่นจริงๆ  ทักษะภาษาคือการสะสม ไม่ได้เก่งได้ชั่วข้ามคืน


เรียนภาษาอังกฤษกับพี่เมที่ FMCP English ชลบุรี โทร.082-471-0226

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรซูเม่สยองขน...เขียนเป็นภาษาอังกฤษ..เขียนอย่างไรดี

ต้องเขียนเรซูเม่เป็นภาษาอังกฤษ...โอ้โน่

อยากสมัครทำงานกับบริษัทต่างชาติ...ก็ต้องเขียนเรซูเม่เป็นภาษาอังกฤษ

เรซูเม่ปกติก็เขียน...ย๊าก ยาก

เรซูเม่ภาษาอังกฤษ ยิ่งเขียนยากเข้าไปใหญ่ เพราะเราจะใช้คำศัพท์เบบี๋ก็ดูไม่เข้าคุณสมบัติของคนที่จะถูกคัดเลือกเลย...

การเขียนเรซูเม่ ต้องมีเทคนิคในการเขียนและการใช้คำ...ไม่ใช่ว่านึกคำศัพท์ไหนออกก็ใส่ๆไป (คนอ่านเข้ารู้จ้ะ)  อีกอย่าง...การโยนคำใหญ่ๆไปเยอะๆ เหมือนจะดูดี ก็ไม่ใช่เทคนิคที่ถูกต้อง  คนที่เป็นเจ้าของภาษาอ่านครั้งเดียวก็รู้ว่า คุณใส่ๆคำโตๆที่ไม่ได้อธิบายอะไรเลย

การเขียนเรซูเม่ที่ดีนั้นต้องพยายามโยงประสบการณ์ของเราให้เข้ากับคุณสมบัติ หน้าที่การงานของตำแหน่งที่คุณสนใจ

จุดประสงค์คือ...ให้เค้าอ่านแล้วคิดว่า  "โอ้!  เราหาคนที่มีประสบการณ์ทางงานนี้ได้แล้ว...ชักอยากคุยด้วยแล้วซิ...เรียกมาสัมภาษณ์ละกัน"

บิงโก!--------หน้าที่ของเรซูเม่ก็จบไปโดยปริยาย....

ถ้าคุณต้องการปรับ หรือเขียนเรซูเม่ หรือ/และ CV ให้เป็นภาษาอังกฤษ พี่เม กับ ครูเฟรด รับงานทางอีเมลล์ ไม่ว่าคุณจะอยู่จังหวัด หรือประเทศอะไร ส่งเรซูเม่/CV มา แล้วพี่เมจะช่วยปรับการเขียนและรูปแบบของเรซูเม่/CV ให้ถูกตาถูกใจบริษัทต่างชาติ

โทรมาคุยรายละเอียดและราคาที่ 082-471-0226

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

ภาษาอังกฤษ คือ ความมั่นใจ

เก่งไม่เก่งภาษาอังกฤษดูแค่นี้......เรามั่นใจในตัวเองมั้ย

เหนื่อยมั้ย....ลองถามตัวเองซิ...

ชั้นทำไม่ได้...ชั้นไม่มีค่าพอ....ชั้นต้องเพอร์เฟค....ชั้นต้องไม่ผิดพลาด...ชั้นไม่ดีพอ....ไม่มีใครรักชั้น

โอ่โห....วันๆ คิดแต่อย่างนี้...แล้วจะมีความมั่นใจได้อย่างไร

ความมั่นใจมาจากความเข้าใจว่า ไม่มีใครในโลกนี้ที่ทำทุกอย่างถูกต้องหมด  ความมั่นใจคือการเข้าใจว่าตอนนี้เราไม่เก่ง  แต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ เราก็จะเก่งกว่าใครๆ  ความมั่นใจคือการให้อภัยตัวเอง และยอมรับว่าทุกคนมีข้อผิดพลาดในตัว

พี่เมเห็นน้องๆ หลายคน กลัวผิด  จึงไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ  กลัวคนอื่นว่าภาษาไทยมีไม่ใช้..ไปใช้ภาษาคนอื่น.. กลัวคนอื่นหัวเราะ กลัวไปต่างๆนาๆ

น้องๆ มาดูวิธีจับปูกัน แล้วจะเข้าใจ  การจับปูนั้นง่ายมาก เอาไหมา จับปูตัวนึงลง ต้องรีบจับอีกตัวนึงลงทันที  ทำไมเหรอ..ก็เพราะ เวลาตัวที่สองจะปีนออก, ตัวแรกที่อยู่ในไหจะไปลากมันกลับเข้ามา...ถามตัวแรกว่ามันรู้มั้ยว่าถ้ายังอยู่ในไห..มันจะตาย  ตัวแรกไม่รู้หรอก..รู้แต่เพียงสัญชาตญานบอก ไม่ให้ตัวอื่นจากมันไป..

คนเราก็เช่นกัน...

คนที่เหมือนปูตัวแรกมักพยายามดึงคนที่อยากพัฒนาตัวเองกลับมายังที่เดียวกับตน  ถามว่ากลุ่มนั้นเก่งภาษาอังกฤษมั้ย  คำตอบก็คือไม่..แต่ไม่อยากให้คนอื่นเก่งจึง พยายามว่ากล่าว, หัวเราะ. เยาะเย้ย..ทำอะไรก็ได้ให้คนกลุ่มที่สองเสียความมั่นใจแล้วตกมารวมในกลุ่มเดียวกัน

เพราะฉะนั้น...ความมั่นใจจะหาไม่ได้ที่คนอื่น...ต้องอยู่ในตัวของเราเอง...เมื่อนั้นจะไม่มีใครเอาออกไปจากเราได้ 

ให้ตัวเองเข้าใจว่าภาษาอังกฤษจะช่วยเราไปยังเป้าหมายได้อย่างไร และหลับหู หลับตาฝึกให้จนได้ ในตอนสุดท้าย ความสำเร็จก็จะเป็นของเรา 

ชีวิตนี้ ไม่มีใครจะฉุดรั้งเราได้..นอกเหนือจากตัวเอง

จำไว้นะ

เรียนสนทนาและแกรมม่ากับพี่เมที่ FMCP English 082-471-0226 ชลบุรี

วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

Affect and Effect หลักแกรมม่าผิดกันจริ๊งข้อที่ 5

Affect vs. Effect

Affect vs. Effect--ใช้ผิดกันเยอะมาก

พี่เมมีหลักการจำง่ายๆ มาช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของสองคำนี้


Affect - โดยส่วนมากจะทำหน้าที่เป็นกริยาในประโยค

เช่น The arrow affected the aardvark.    ลูกศรส่งผลแก่ตัวกินมด

Arrow- ลูกศร
Aardvark- ตัวกินมด

Effect - โดยส่วนมากจะทำหน้าที่คำนามในประโยค

เช่น The effect was eye-popping.  ผลนั้นน่ามหัศจรรย์


Eye-popping-น่าดู มหัศจรรย์

Bring and Take #4หลักแกรมม่าที่ผิดกันจริ๊ง!!!!

Bring Vs. Take

เอ...แล้วเราควรใช้ Bring หรือ Take ดีละ?????

ก่อนอื่นเราจะต้องทำความเข้าใจว่า สิ่งของที่พูดถึงนั้นกำลังออกไปจากประธาน หรือเข้าหาประธาน

ถ้า "เข้าหา" ใช้ bring

ex. Please bring the shirt to me. 
 
กรุณาเอาเสื้อมาให้ฉันที

ถ้า "ของออกไป" ใช้ take

ex. Please take this shirt to the cleaners.

กรุณาเอาเสื้อไปให้ร้านทำความสะอาด

ง่ายเนอะ.....   

สอบถามเรื่องคอร์สการเรียนแกรมม่าและสนทนาสาขาชลบุรีที่ 082-471-0226 

ขออภัย..กำลังอัพเกรดความอินเตอร์......

ขออภัย...เว็บกำลังปรับปรุง...

ใครลองเข้าไปในเว็บ www.fmcpenglish.com อาจจะตกใจ...


อาร๊าย......

รับขับแท็กซี่ที่อินเดีย????????

ไม่ต้องตกใจมากจ้ะ....พี่เมยังอยู่เมืองไทย... ไม่ได้หันไปขับรถแท็กซี่ที่อินเดีย

พี่เมกำลังปรับปรุงเว็บของพีเมอยู่

เว็บเก่ามันเบบี๋ไปหน่อย....เปิดเว็บครั้งนี้จะมีทั้งวีดีโอการสอนแกรมม่าและสนทนาเพื่อรองรับนักเรียนต่างจังหวัดและนักเรียนต่างประเทศในเอเชียและยุโรป

ถ้ามีคำถามเกี่ยวกับคอร์สและเวลาเรียนต่างๆในตอนนี้ที่สาขาชลบุรี....กริ๊งกร๊างมาได้เลยจ้ะ

พี่เม 082-471-0226

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2556

Whether and If #3 หลักแกรมม่าที่ผิดกันจัง

Whether  and  If

Whether and If น้องๆมักจะสับสนในการใช้อยู่เสมอ...ลองมาดูกัน


Whether -- ใช้ในกรณีที่มีทางเลือกมากกว่าสองอย่าง

เช่น   I don't know whether I should go shopping.  สามารถมีทางเลือกว่าเราจะไปหรือไม่  ก็ได้

If---ใช้ในกรณีที่มีทางเลือกเดียว และต้องมีผลกับเหตุเกิดขึ้น

เช่น I can go shopping tonight if my parents give me money.   ไปชอปปิ้งได้..ถ้าพ่อแม่ให้ตังค์

อยากรู้รายละเอียดคอร์สต่างๆ คลิกนี่เลย

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

May/Might/Might have ใช้อันไหนดีอะ

May or Might or Might have???????


ความแตกต่างอันน้อยนิดที่ควรรู้

MAY

ใช้ในลักษณะการขออนุญาติแบบเป็นทางการที่ซู้ดๆๆๆ   ฝรั่งธรรมดาเค้าไม่ค่อยใช้กัน แต่หนังสือเรียนยังมีอยู่

Ex:  May I go to the toilet?  -----ใช้บ่อยใช่มั้ย.....

ใช้พูดถึงสิ่งที่มีสิทธิที่จะเกิดขึ้นได้จริง...

Ex:  I see many dark clouds.  It may rain later today.  

 

MIGHT

ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่มีโอกาสที่จัเกิดขึ้นได้น้อยมวาสก์.......   โอกาสแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์

Ex:  Nun is very sick.  She might go to school.

 

MIGHT HAVE

เอ....แสดงว่า might have แปลว่า อาจจะมีใช่มั้ยเนี่ย.....

ผิด....

might have เป็นในรูปอดีตของ might แค่นี้เอ๊ง!!!

Ex:  I might have dropped my money in the toilet.

เรียนภาษากับ FMCP English ชลบุรี 

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

Envy vs. Jealous ใช้ต่างกันอย่างไร

Envy vs. Jealous

ง่ายๆเลยนะ......

Envy คือปรารถนาที่จะเป็นอย่างคนอื่น  คนอื่นนั้นเป็น Idol

Jealous คือ I hate you.  ชั้นเกลียดเธอที่เธอได้แต่ชั้นไม่ได้  หรือแสดงความหึงหวง

ความรุนแรงทางความรู้สึกมันต่างกัน....

เอ้า...มาดูลักษณะตัวอย่างการใช้กัน....

My sister envied Selena Gomez because she is a popular teen singer.

A handsome guy is talking to my friend.  I am so jealous!



วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

แกรมม่าที่ผิดกันบ่อย #1 Present Perfect vs. Past Simple

#1  Present Perfect vs. Past Simple

ไม่ต้องห่วงเรื่องรูปแบบ...มาดูตัวอย่างการใช้ Present Perfect...

การ์ตูนแปลว่า  "เขารอเธอมา 60 ปีแล้ว"

ดู"เขา"ซิ....รอจอกลายเป็นโครงกระดูกไปแล้ว....แต่...เขายังรออยู่ใช่มั้ย???

นั่นแหละ...การใช้เทนส์นี้   ใช้เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและยังดำเนินอยู่ถึงปัจจุบัน

แต่ Past Simple นั้น--- เป็นสิ่งที่เกิดมา ตั้งอยู่ และดับไป...ในอดีต...จบ

เพราะฉะนั้น...ดูความแตกต่างของสองประโยคนี้

I have visited Bangkok last weekend.

I visited Bangkok last weekend.

ชั้นไปกรุงเทพอาทิตย์ที่แล้ว

แสดงว่าคนนี้ยังอยู่ที่กรุงเทพ ณ วันนี้ใช่มั้ย...

ไม่ใช่เลย...คนนั้นไปแล้ว...กลับมาแล้ว  

เราจึงต้องใช้ Present Simple ในครั้งนี้จ้า