KruMae แนะนำ 5 เทคนิคในการหางาน
สำหรับนักศึกษาที่ใกล้จะเรียนจบปริญญาตรี/โท
พิธีรับปริญญาในภาษาอังกฤษ เรียกว่า "Commencement"
ซึ่งแปลว่า "จุดเริ่มต้น"
แต่เอ...หลายคนคงจะสงสัยว่า ทำไมถึงเรียกว่าจุดเริ่มต้น ทั้งๆที่มันคือ Graduation Day --หรือคือวันเรียนจบสาเหตุ ก็เพราะวันที่เราเรียนจบ..คือวันที่ชีวิตวัยนักเรียนได้สิ้นสุดลง และชีวิตของการทำงาน และความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบได้เริ่มขึ้น
นัก เรียนได้วาดฝันถึงวันนี้มาตั้งแต่ปี 1 หรือช่วงมัธยม..ก็ยังมี พอใกล้ถึงวันนั้นทุกคนเตรียมชุด หาช่างกล้องประจำตัว การด์ชวนเพื่อน ช่างแต่งหน้าทำผม---แต่ ถามจริง..มีใครเตรียมเรซูเม่ คะแนนโทอิค หรือทักษะการสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษ สำหรับวันต่อไปหลังจากงานรับปริญญามั้ย?
มีน้อยคนนักที่เตรียม--บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโทอิคคืออะไร แล้วมีการตกใจเมื่อคนสัมภาษณ์--หน้าตาก็ไทย แต่ถามคำถามเป็นภาษาอังกฤษ--เงิบไปเลย!
พอเราเตรียมตัวช้า---คนที่เตรียมมาก่อนก็จะได้งานดีๆ เงินเดือนสูงๆก่อน แล้วเหลืออะไรให้เราละ?
หลาย คนเหลือเกินที่มาหา KruMae แล้วขอให้ได้คะแนนโทอิคเท่านั้น เท่านี้ในเวลาจำกัด หรือไม่ก็ขอติวสัมภาษณ์งาน--ทั้งๆที่ทักษะการพูดการฟังนั้นแทบจะไม่มีเลย สุดท้ายก็ต้องพบกับความจริงว่า โอกาสไม่เคยรอใคร--ในเมื่อเราไม่พร้อม..มันก็จะไปหาคนอื่นที่พร้อมกว่า...
แต่..ข้อดีของโอกาส ก็คือ..ในชีวิตเรา..มันจะมาหลายรอบ ยิ่งเราพัฒนาทักษะของตัวเองมากเท่าไหร่--โอกาสจะมาหาเราถี่ขึ้นเท่านั้น!
KruMae แนะนำ 5 เทคนิคในการหางาน สำหรับนักศึกษาที่ใกล้จะเรียนจบ
- เขียน Resume ของตัวเอง ใบนี้บอกประวัติของเรา รวมทั้งประสบการณ์และการศึกษา ในเมื่อเรายังไม่มีประสบการณ์ก็ให้เน้นทักษะ หรือกิจกรรมที่เป็นตัวเด่น เช่น ได้แข่งการประกวดได้รับรางวัล หรือเป็นผู้นำ/หัวหน้ากลุ่ม ไม่ต้องเขียนให้ยาว 2-3 หน้ากระดาษ เขียนหน้าเดียว--พอ สไตล์ที่ KruMae ชอบจะเป็นแบบอเมริกันที่สั้นๆได้ใจความ แผ่นเดียว--หน้าเดียว เพราะคนอ่านไม่มีเวลามานั่งอ่านเรซุเม่ที่มีแต่คำเยอะๆ หรูๆ แต่สรุปหน้าที่การงานไม่ได้เลย คนอ่านมักจะไม่มีเวลาอ่าน เราจึงควรทำ Resume ให้สั้่นๆ แต่น่าประทับใจ..จะดีกว่า
- คะแนน TOEIC มีมั้ย? ข้อสอบโทอิค--นับวันจะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะต้องได้อย่างน้อย 550/990 ขึ้นไปถึงจะได้รับพิจารณา ถ้าเราไม่แนบคะแนนโทอิคไปกับใบสมัคร แต่เขียนว่าภาษาอังกฤษดี--ใครจะเชื่อ มีหวังใบสมัครก็กองอยู่กับพวกอื่นๆที่ไม่มีคะแนนโทอิคมายืนยันความ สามารถ--กินฝุ่นต่อไป คลิกที่นี่เพื่อดูว่าข้อสอบโทอิคคืออะไร สอบอะไรบ้าง และมันสำคัญอย่างไร
- พูดภาษาอังกฤษเป็นบ้างหรือปล่าว? ถ้าพูดไม่เป็น--เวลาสัมภาษณ์ก็จะเป็นสไตล์ท่องๆ ซึ่งมันไม่ได้ผลดีให้ใครเลยเพราะนอกจากเราจะเกรงแบบสุดๆ ถ้าเราลืมแค่คำเดียว--ก็จอด แถมคนถามอะ ถาม/สัมภาษณ์มาเยอะแล้ว--ใครท่องไม่ท่อง--เนี่ย รู้หมด หนังสือการสัมภาษณ์ถึงช่วยเราไม่ได้เพราะตัวอย่างที่ให้มานั้น--เราจะไม่เจอ ในการสัมภาษณ์ของเราเลย KruMae ขอบอกหลายๆรอบ ว่าทักษะการพูด--เราจะเก่งภายในเดือนเดียวนั้น--IMPOSSIBLE! ถ้าทันเป็นไปได้--(ใครต่อใครจะไปทำไมเมืองนอก--หนาวก็หนาว เหงาก็เหงา แถมอาหารไทยก็แพง!) เราจึงต้องฝึกบ่อยๆ นานๆ เพื่อความมั่นใจ และความเคยชินในการใช้ภาษาอังกฤษ เวลาใครถามอะไรเรา เราก็จะสามารถคิดคำตอบ--สดๆ ได้เลย! ถ้าเรายังไม่เคยเรียนสนทนา เราก็ควรเริ่มในคอร์สที่สอนพื้นฐานในการสนทนา เช่นการสร้างประโยคถามตอบ ก่อนที่จะกระโดดเรียนกับครูต่างชาติ คลิกที่นี่เพื่อรายละเอียดคอร์สปรับพื้นฐานสนทนาภาษาอังกฤษ
- รู้จัก NETWORKING อันนี้ก็คือ มีเพื่อนทั้งรุ่นเดียวกัน รุ่นพี่ และคนที่ทำงานแล้ว อย่างเช่นคอร์สภาษาที่สถาบัน FMCP English เน้นการสอนผู้ใหญ่ วัยทำงานโดยเฉพาะ--นักศึกษาที่เรียนในคอร์สเดียวกันจะรู้จักพวกพี่ๆ ที่ทำงานแล้ว พี่ๆนี้จะสามารถให้แนวทางในการสมัครงานที่บริษัทที่เค้าทำอยู่ หรือไม่ก็มีข้อมูลพิเศษของคนใน ที่อาจจะมีค่าสำหรับคนที่กำลังหางานอีกด้วย ที่สำคัญ--พวกพี่ๆนั้นกำลังทำงานในหน้าที่นั้นๆ นักศึกษาของเราจึงสามารถถามถึงหน้าที่การงานของตำแหน่งนั้น ก่อนที่เราจะลงมือทำอีกด้วย
- จัดระเบียบ Social Media (FACEBOOK, TWITTER) เพราะบริษัทสมัยนี้จะอยากรู้ตัวจริงของผู้สมัคร จึงมักเข้าพวกโซเชลเพื่อศึกษาข้อมูล ถ้าไม่อยากให้เค้าเห็นอะไรแปลกๆ ก็ลบให้หมด--ไม่อย่างนั้นก็ต้องโปลไฟลตัวเองให้เป็นส่วนตัว
- เริ่มหางานก่อนใคร ส่วนใหญ่นักเรียนจะเริ่มหางานหลังจบการศึกษา--รอทำไม? ในเมื่อคะแนนโทอิคมีอายุ 2 ปี และมีหลายบริษัทที่จะรับเราเข้าทำงาน 2-3 เดือนก่อนจบปริญญา-- ถ้าเราได้เลือกก่อน--เราก็มีโอกาสจะได้สิ่งดีๆก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น